Culture Matters for all
ตั้งอยู่ที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง สถานที่ดังกล่าวเป็นเรือนของพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี ตั้งแต่มีการย้ายเมืองมายังกันตังเมื่อ พ.ศ. 2436 แต่ในช่วงทศวรรษ 2510-2530 เป็นระยะที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย และมีการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์โดยภาคส่วนต่าง ๆ ในระยะต่อมา
•ท่านมีช่วงชีวิตในรัชกาลที่ 5 และ 6 ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย จนได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการหลายจังหวัดในภาคใต้ เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต และเป็นองค์มนตรี พ.ศ.2454•ท่านได้รับการขนานนามว่า “บิดาแห่งยางพาราของไทย” ด้วยการส่งเสริมให้การปลูกยางพาราเป็นอาชีพหลักของคนในภาคใต้•ท่านถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2456
อดีตบ้านพักของท่านแห่งนี้อยู่ในความดูแลของลูกหลาน ในความรับผิดชอบของบริษัท เบียนเจง ณ ระนอง กับภรรยาและญาติมิตร ต่อมา พ.ศ. 2535-2536 การจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์โดยภาคส่วนต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์ ในการการถ่ายทอดประวัติและคุณูปการของพระยารัษฎาฯ ให้แก่อนุชนรุ่นหลัง
"เราทำข้อมูลก่อน จัดการหาคนอยู่ร่วมสมัยและคนอยู่ในบ้าน หนึ่งในนนั้นเป็นเครือญาติรุ่นหลานของท่านพระยารัษฎาฯ อีกกลุ่มเป็นบริวารในบ้าน รวมถึงคนภายนอกที่ทันเห็นพระยารัษฎาฯ เขาอายุ 70 ปีแล้วตอนที่เราไปสัมภาษณ์"
•เน้นการจำลองสภาพเรือน ให้สอดคล้องกับข้อมูลคำบอกเล่า
•เครื่องเรือนและเครื่องใช้คงอยู่ติดกับบ้าน จึงเสริมบรรยากาศให้พิพิธภัณฑ์ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนในเรือน
แกลอรี่ภาพผู้ว่าราชการจังหวัดตรังสมัยตั้งเมืองที่อำเภอกันตัง จากพระยารัษฎาฯ (พ.ศ. 2433-2444) ถึงพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สิน เทพหัสดินทร์) (พ.ศ. 2457-2459) และภาพถ่ายสถานที่สำคัญในกันตัง เช่น เทศบาลตำบลกันตัง ซึ่งหลายแห่งไม่มีให้เห็นแล้วในปัจจุบัน
“หุ่นจำลองพระยารัษฎาฯเป็นสื่อแทนความหมายถึงบุคคลที่มีคุณค่าต่อสังคมและบ้านเมือง บุคคลที่ควรเคารพยกย่องจดจำไว้เป็นแบบอย่าง”
เรื่องเล่าที่กล่าวถึงกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่เคยถามพระยารัษฎาฯว่า “ทำอย่างไรจึงจะเป็นเจ้าเมืองที่ดี” คำตอบคือ “ต้องซดน้ำชาอยู่ที่จวน ซดเสร็จแล้วไปเที่ยวคุยกับราษฎร” นั่นคือ พยายามชี้ให้เห็นว่า เจ้าเมืองต้องอาศัยการไตร่ตรองและวางแผน และพูดคุยกับราษฎรในพื้นที่
“กระทะใบบัวเป็นสิ่งที่บ่งบอกจำนวนผู้อยู่อาศัย” ยุวมัคคุเทศก์ชี้ชวนให้ผู้ชมสังเกตสิ่งต่าง ๆ ในการนำเสนอ
โถงกลางชั้นบนจัดแสดงภาพถ่ายสายตระกูลของพระยารัษฎาฯ เหนือโต๊ะคล้ายแท่นเคารพ และภายในห้องเบียนเจง แสดงภาพของกิจกรรมของทายาทที่ทำคุณูปการไว้กับจังหวัดตรัง
พิพิธภัณฑ์ต้องอาศัยกระบวนการทำงานจากทั้งวัตถุหลักฐานและคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้อง
บ้านและเจ้าของเรือนกลายเป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอด “แบบอย่าง” ของผู้ที่ทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ในเขต “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” ในเขตเทศบาลเมืองจันทบุรี ที่เคยเป็นศูนย์กลางสำคัญและย่านการค้าของคนไทย คนจีน และคนณวณ ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์
•จากการขยายตัวของเส้นทางสัญจรทางบก ศูนย์กลางการค้าย้ายไปพื้นที่อื่น ส่งผลให้ย่านตลาดท่าหลวงซบเซาช่วง ทศวรรษ 2500
•เหตุการเพลิงไหม้ 2533 ส่งผลให้ชาวชุมชนบางส่วนย้ายออกไปในพื้นที่ถัดออกมา ตลาดน้ำพุ ตลาดวัดส่วนมะม่วงเป็นอาทิ
•2552-2554 การสนับสนุนจาก “พาณิชย์จังหวัดจันทบุรี” และการสนับสนุนทางวิชาการจากสถาบันอาศรมศิลป์
•การจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วม การประกวดตั้งชื่อ ริมน้ำจันทบูร และสร้างสรรค์ตราสัญลักษณ์ที่มีดวงจันทร์และสายน้ำ คล้ายเลข “๕” สื่อถึงยุคสมัยรุ่งเรืองของพื้นที่
•การปรับปรุงบ้านขุนอนุสรสมบัติเป็น “บ้านเรียนรู้ของชุมชน” และกิจกรรมที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องในการสืบค้นประวัติบ้านและความงามของสถาปัตยกรรม
“ในระยะแรกยังผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนพูดคุยเพื่อหาแนวทาง แล้วพาไปดูงาน พอไปดูตลาดสามชุก บอกว่าไม่ชอบ เพราะเราเคยอยู่กันมาเงียบ ๆ ...พอตั้งชื่อเสร็จ เราก็จัดอีเวนต์ คือกิจกรรมเริ่มมาเองโดยไม่ได้คิดล่วงหน้า ...ชาวบ้านเองเริ่มคุยว่าเรามีนั่นมีนี่ ตัวเองก็ไปเก็บข้อมูล ก็เลยมากำหนดวิสัยทัศน์”
เรื่องราวต้องเกี่ยวข้องกับ 3 ประเด็น คือ ความงดงามของอาคาร ช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 วิถีชีวิตของชุมชน
•“บ้านหลวงราชไมตรี” เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเมืองเก่าที่ต้องการให้สร้างรายได้แก่ชุมชน และยังเป็นสถานที่สำหรับการเรียนรู้และการท่องเที่ยว
•บริษัท จันทบูรรักษ์ จำกัด อาศัยการระดมทุนของคนในพื้นที่ และนอกพื้นที่ กลายเป็น “กิจการเพื่อสังคม” หรือ social enterprise
•สถาบันอาศรมศิลป์เป็นผู้ดูแลโครงการบูรณะอาคาร ร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาชุมชนริมน้ำจันทบูร
•พ.ศ. 2551 ครบร้อยปีชาตกาลของหลวงราชไมตรี “บิดาแห่งยางพาราภาคตะวันออก”
•ชาวสวนยางพาราสร้างอนุสรณ์หลวงราชไมตรีไว้ที่ทางขึ้นน้ำตกพลิ้ว อันเป็นที่ชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยางจันทบุรี
•บ้านหลวงราชไมตรีเป็นสถานที่ถ่ายทอดเรื่องราวคุณความดีของหลวงราชไมตรี และซึมซับกับบรรยากาศภายในที่มีการปรับปรุงเป็นห้องพัก 12 ห้อง และส่วนจัดแสดงข้าวของที่บอกเล่าชุมชนและประวัติเจ้าของเรือน
•พื้นที่ด้านล่าง ด้านหน้าปรับเป็นโถงต้อนรับ และมีห้องพักจำนวน 4 ห้อง
•เอกสารและโบราณวัตถุได้รับการจัดแสดงไว้ในตู้กระจก ซึ่งเป็นสิ่งของที่ค้นพบในระหว่างการบูรณะบ้านหลวงราชไมตรี
•โรงครัวได้รับการปรับปรุงเป็นห้องพัก และใกล้กันนั้น กลายเป็นชานสำหรับการพักผ่อนและการรับประทานอาหาร
•บรรยากาศของสถานที่เชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนสัมผัสกับแม่น้ำจันทบูร
•ชั้นบน ได้รับการจัดแบ่งห้องพักเพิ่มเติม ทั้งสิ้น 8 ห้อง
•แต่ละห้องกำหนดชื่อเรียกให้แตกต่างกัน และอาศัยการตกแต่งภายใน
•การประดับตกแต่งเน้นเครื่องเรือนดั้งเดิมที่เป็นส่วนหนึ่งของอาคาร
ใช้ภาพเก่า (สำเนา) ถ่ายทอดเรื่องราวของย่านท่าหลวง สถานที่สำคัญอย่างโบสถ์คริสต์ และการสัญจรทางน้ำ
เป็นห้องพักบนชั้น 2 ติดริมน้ำ เตียงเคยเป็นเครื่องเรือนของสมาชิกในครอบครัวของหลวงราชไมตรี
•การปรับใช้พื้นที่ในอาคารเพื่อสอดคล้องกับประโยชน์ใช้สอยใหม่
•บันไดเวียนนำขึ้นไปสู่ระเบียงนอกอาคาร ที่สร้างเป็นพื้นที่รองรับกับแขกผู้มาเยือนได้ชมบรรยากาศริมน้ำ
• บ้านหลวงราชไมตรี นับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้บ้านสู่เรือนพัก แต่คงบอกเล่าประวัติและสร้างบรรยากาศให้เหมาะสมกับสถานที่
• องค์ประกอบสำคัญ คือ กระบวนการจัดการ ดังที่ปัทมา ปรางค์พันธ์ ผู้จัดการเรือนพักประวัติศาสตร์แห่งนี้กล่าวไว้ว่า
“เป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่กำไร แต่เป็นการส่งเสริมให้บ้านหลววงราชไมตรีและบ้านเรียนรู้ เลขที่ 69 อยู่คู่กับชุมชน ฉะนั้น การตลาดจึงต้องเรียนรู้เรื่องราวของชุมชนริมน้ำจันทรบูร และให้ความสำคัญกับพื้นที่และการท่องเที่ยวของจังหวัด”
พ.ศ. 2447-2481 ครูบาศรีวิขัยเป็นศูนย์รวมพลังศรัทธาของคนล้านนา เพื่องานสาธารณะประโยชน์ หนึ่งในนั้นคือ งานบูรณะวัดจามเทวี จังหวัดลำพูน รวมถึงการก่อสร้างพระวิหารและพระอุโบสถ พ.ศ.2479-2480
ด้วยความศรัทธาของลูกหลานชาวล้านนา ครูบาศรีวิชัยคงได้รับความเคารพนับถือในวัตรปฏิบัติ และเป็นแรงบันดาลใจ
ดังเช่น กิจกรรมสรงน้ำครูบา สงฺฆะ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในวันที่ 11 มิถุนายน อันเป็นวันคล้ายวันเกิดของครูบาศรีวิชัย
(ในภาพ กู่ครูบาศรีวิขัยบรรจุเถ้าอัฐิในวัดจามเทวี อำเภอเมืองลำพูน เป็น 1 ใน 6 แห่ง เมื่อต้นทศวรรษ 2490)
พระครูวินิฐธรรมโชติให้ใช้กุฏิหลังเดิมของครูบาชัยยะวงศาพัฒนา เพื่อเป็นโฮงนิทัศน์ครูบาเจ้าศรีวิชัย โดยกลุ่มสปิริตออฟลำพูนร่วมกันจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องในการเผยแพร่ประวัติ และสะสมสิ่งจัดแสดงเพื่อสื่อถึงความศรัทธาของผู้คนต่อตนบุญแห่งล้านนา
การจัดสรรพื้นที่การใช้ประโยชน์ใหม่ ภายหลังการบูรณะกุฏิ ประกอบด้วย
1.ห้องประดิษฐานรูปเหมือนครูบาเจ้าศรีวิชัย
2.ห้องจัดแสดงภายถ่ายครูบาฯ หลายอิริยาบถ
3.ห้องจัดแสดงหนังสือและสิ่งพิมพ์ที่สื่อถึงศรัทธา
4.ห้องจัดแสดงรูปภาพต้นฉบับ
5.ห้องแสดงพระบูชาครูบาศรีวิชัย
6.ห้องจำลองรูปเหมือนครูบาฯ ขณะรักษาอาการอาพาธ ณ วัดจามเทวี
•“โฮง” เป็นคำที่ท่านเจ้าอาวาสกล่าวถึง เช่น โฮงเติมบุญ อันหมายถึงสถานที่ถวายปัจจัย
•โฮงนิทศน์ครูบาเจ้าศรีวิชัย จึงเป็นทั้งสถานที่ของการสืบทอดมรดกความทรงจำสู่อนุชนรุ่นหลัง และยังเป็นบริเวณรองรับผู้คนจากโรงพยาบาลมาสักการะบูชา เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยและญาติ
เป็นห้องจัดแสดงเดียวที่มีภาพถ่ายต้นฉบับ ทั้งภาพถ่ายที่เคยอยู่หน้าศพครูบาศรีวิชัย และภาพบันทึกขบวนแห่ศพ
•เกิดจากการรวบรวมสิ่งพิมพ์และวัตถุบูชาเกี่ยวเนื่องกับครูบาศรีชัย
•สิ่งเหล่านี้สะท้อนศรัทธาของชาวล้านนาต่อครูบาฯ อย่างต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น
•ภาพถ่ายที่สื่อถึงครูบาศรีวิชัยในอิริยาบถและเหตุการณ์ต่าง ๆ
•หนึ่งในนั่น แสดงภาพการห่มจีวรแบบภาคกลาง อันเป็นผลในการสอบอธิกรณ์ โดยปรากฏรูปพร้อมกับโยมอุปัฏฐาก ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในนางเลิ้ง กรุงเทพมหานคร
•แม้โฮงนิทัศน์ครูบาเจ้าศรีวิชัยไม่ใช่สถานที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับครูบาฯ
•แต่วัตถุข้าวของ จากรูปเคารพถึงรูปจำลอง จากภาพถ่ายสู่สิ่งพิมพ์ สิ่งเหล่านี้สะท้อนความหมายของพิพิธภัณฑ์บ้านจากชุดสิ่งสะสมในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
(ในภาพ ห้องสืบปฏิทา ครูบาเจ้าศรีวิชัย จัดแสดงรูปเคารพครูบาฯ อันเป็นวัตถุสักการะที่เชื่อมโยงความศรัทธาจากอดีตสู่ปัจจุบัน)
•“ต้องการพัฒนา ‘ใบรัตนาคาร’ ให้เป็นสถานที่ศึกษาเรียนรู้ ท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ที่ได้รับรางวัลระดับโลกเกิดตรงนี้”
•คณะทำงานและญาติของท่านเจ้าคุณซื้อใบรัตนคารและอาคารข้างเคียง และพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของท่าน
•พื้นที่ส่วนหน้าจำลองกิจการค้าผ้า และการเย็บผ้า ของมารดาท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ
•ตู้กระจกนำเสนอสินค้า จักรเย็บผ้า และเครื่องมืออุปกรณ์จัดเรียงเพื่อเล่าเรื่องราวและมีข้อความบอกเล่าถึงบทบาทของลูกสาวในการฝึกฝนการเย็บปักถักร้อย
•ฉากห้องเรียนจำลองบอกเล่าถึงช่วง พ.ศ.2480 ยังไม่มีโรงเรียนในตลาด
•“มหาสำราญ” ขออนุญาตกระทรวงธรรมการจัดตั้งโรงเรียน “บำรุงวุฒิราษฎร์” สำหรับสอนลูก ๆ และเด็กในละแวกบ้าน
•ผนังจัดแสดงภาพในวัยเยาว์ของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ และเอกสารการศึกษาต่าง ๆ
•ห้องครัวได้รับการปรับปรุงให้เป็นบริเวณในการถ่ายทอดบุคลิกภาพในช่วงท่าเจ้าคุณสมเด็จ
•สำรับอาหารและหยูกยาที่สะท้อนความพอเพียงและความสมถะในสมณเพศ
•ฉากตอนสำคัญอีกส่วนหนึ่งคือ ภาพจำลองปกหนังสือต่าง ๆ ที่ “ท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ” ประพันธ์
•ผลงานจำนวนมากนี้ชี้ชวนให้ผู้ชมเห็นถึงความไฝ่รู้และความเพียร
บรรยากาศภายในเรือนเสริมด้วยเครื่องเรือนและสิ่งของจากการบริจาค วัตถุร่วมสมัยเหล่านี้ทำให้สภาพของ “ใบรัตนาคาร” คงสภาพของความเป็น “บ้านเกิด” และสถานที่สำหรับการเรียนรู้ถึงแบบอย่างบุคคล
•ห้องขนาดเล็กบนชั้นสองของชาติภูมิสถานเพิ่มเติมเรื่องราวเกี่ยวกับคุณธรรมอันเป็นแบบอย่างให้ผู้ชม ได้แก่ กตัญญู ขอไม่เป็นปก ประหยัดเนื้อที่ เป็นต้น
•ส่วนกลางจัดแสดงวัตถุงานฝีมือที่ท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ประดิษฐ์ของเหลือใช้ให้กลับมาใช้งานอีกครั้ง
•พ.ศ.2559 ท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
•นิทรรศการชั้นบนไล่เรียงเรื่องราวตั้งแต่ พ.ศ.2448-2559 จนมาถึงภาพสุดท้าย “...ภาพพัดยศแสดงไว้ในตอนท้าย เพื่อให้ชาวบ้านที่มาแสดงความเคารพและบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึก”
ปัจจุบัน คงเป็นทั้งบ้าน สถานปรุงยาและจำหน่าย และแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับยาแผนโบราณ ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับคลังเรื่องราวของอดีตเจ้าของเรือน และความรู้ในการผลิตยาแผนไทย
•การพัฒนาบ้านหมอหวานให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์อาคาร และปรับภาพลักษณ์ให้ต้อนรับผู้คน
•เช่น การใช้กรอบไม้และกระจกใส จัดแสดงขวดยาฝรั่ง เชื้อเชิญให้เข้ามาเยี่ยมเยือน และสร้างภาพแรกของสถานที่ปรุงยาและถ่ายทอดเรื่องราว
การประดับตกแต่งภายในคงใช้เครื่องเรือนไม้ และจัดแสดงโบราณวัตถุ สร้างภาพลักษณ์ของ “ความเก่าแก่” และ “ความน่าเชื่อถือ” ให้กับสถานที่และผลิตภัณฑ์ที่ปรับให้เข้ายุคสมัย
รางบดยาโบราณ เสริมให้ผู้ชมเห็นกรรมวิธีผลิตยาไทยในอดีต
ขวดยาฝรั่งที่นำเข้าจากต่างประเทศสะท้อนการปรับตัวของหมอหวานเมื่อครั้งเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการแพทย์ในสังคมไทย
•การพัฒนาแบรนด์มีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูให้ยาไทยเป็นที่นิยม และเป็นส่วนสนับสนุนในการดำเนินกิจกรรมของ “บ้านหมอหวาน” ในฐานะพิพิธภัณฑ์
•การปรับรูปแบบของเม็ดยา บรรจุภัณฑ์ รวมถึงสัญลักษณ์ที่ใช้ตราเฉลว ทำให้บ้านหมอหวานเป็นที่จดจำ
•บ้านหมอหวาน สะท้อนให้เห็นการประกอบการเชิงสร้างสรรค์ในยุคร่วมสมัย
•กิจการผสมผสานทั้งภูมิปัญญาที่เป็นมรดกตกทอด และการพัฒนาต่อยอด จนกลายเป็นความลงตัวของแหล่งเรียนรู้กับกิจการเชิงพาณิชย์ที่ดำเนินไปควบคู่กัน
ภาพถ่าย : ศิวพงษ์วงศ์คูณ
ผู้ให้ข้อมูล :อาจารย์สุนทรี สังข์อยุทธ์, ประภาพรรณ ฉัตรมาลัย, ปัทมา ปรางค์พันธ์, ภาสินี ญาโณทัย, อาจารย์ประวิทย์ บุญเรืองรอด, นเรนทร์ ปัญญาภู