Culture Matters for all
•ความหมายของ “บาบ๋า”
•ในชีวิตประจำวัน
•สมรักสมรัส : แต่งองค์ทรงเครื่องในพิธีมงคลสมรส
•บทบาทเครื่องแต่งกายบาบ๋าร่วมสมัย
•ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ชาวจีนอพยพจากทางใต้และทางตะวันออกจากมณฑลฝูเจี้ยน มีเมืองท่าสำคัญ เช่น เอ้หมึง ฝูโจว มายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
•บางกลุ่มเดินทางมายังช่องแคบมะละกา ตั้งถิ่นฐานในปีนังและสิงคโปร์ ในยุคอาณานิคมอังกฤษ (ศตวรรษ 19) จากนั้น เข้ามาในภาคใต้ฝั่งอันดามันด้วยเส้นทางการค้า และนำวิทยาการขุดแร่เข้ามา
•นอกจากนี้ ยังมีแรงงานบางกลุ่มที่เดินทางจากภาคกลางสู่ภูเก็ต และสัญญาแรงงานของกรมการเมืองภูเก็ต (พ.ศ.2449-2464)
(ภาพ : พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
ส่วนใหญ่มาเป็นแรงงานในเหมืองหาบ กรรมกรแบกสินค่าท่าเรือ คนลากรถ (หลั่งเซี้ย) คนขายน้ำ (เชี้ยถุย) เปิดร้านขายของชำ (ขายจับโห้ย) ร้านตัดเสื้อ (ฉ้ายหอง) ทำประมง คนจีนเหล่านี้แต่งงานกับคนพื้นถิ่น และให้กำเนิดคนบาบ๋า
ใบต่างด้าวของชาวจีนฮกเกี้ยนในสยาม แสดงให้เห็นเส้นทางการเดินทางจากปีนังถึงภูเก็ต และเข้ามาเป็นแรงงานกุลีเหมืองแร่
(ภาพ: สิ่งจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว)
นอกจากนี้ ยังมีชาวจีนบางส่วนที่ตั้งรกรากและตั้งตัวได้ เป็นเจ้าของเหมืองแร่ เป็นพ่อค้าค้าขายระหว่างปีนังกับภูเก็ตจนร่ำรวย
ชุมชนชาวจีนและบาบ๋าที่สำคัญ ๆ ในเมืองภูเก็ต อยู่ทางตะวันออกขอเกาะ ได้แก่
•ชุมชนทุ่งคา ปัจจุบันเป็นอำเภอเมือง เคยเป็นที่ตั้งของเหมืองที่เป็นบ่อรวมวัฒนธรรมต่างชาติ
•ชุมชนบางเหนียว เป็นสถานที่สำคัญในการหาปลา
•ชุมชนซีเต็กค้า ที่เคยเป็นสถานที่ฝังศพของชาวจีน
•ชุมชนย่านเมืองเก่า ถนนถลางและถนนพังงา ที่มีทั้งโบสถ์คริสต์และศาลเข้าไหหลำ
(ภาพ : แบบจำลองย่านเก่าเมืองภูเก็ต พิพิธภัณฑ์เพอรานากัน ภูเก็ต)
ปราณี สกุลพิพัฒน์ (2555) ให้คำอธิบายว่า “บาบ๋า” เป็นภาษาฮินดูสตานี ที่เรียกลูกที่เกิดจากการแต่งงานของคนจีนอพยพกับคนพื้นถิ่นภูเก็ต โดยไม่แบ่งว่าเป็นชายหรือหญิง แตกต่างจากชุมชนเพอรานากันในคาบสมุทรที่ใช้คำว่า “บาบ๋า” สำหรับชาย และ “ยอนยา” หรือ “ยะหยา” สำหรับหญิง
•ปัจจุบัน หลายครอบครัวย้ายถิ่นออกไปที่อื่น ๆ มีเพียงสถาปัตยกรรมเป็นหลักฐานของชุมชนบาบ๋าขนาดใหญ่
•ความโดดเด่นของอาคารแบบชิโน-ยูโรเปียน ที่มีหงอคาคี่ (ทางเดินเชื่อมอาหารห้องแถว) แต่ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล และไม่สามารถเดินไปมาดังเดิม
•ในช่วงกว่าสิบปีนี้ กระบวนการฟื้นฟูวัฒนธรรมบาบ๋าเกิดขึ้น โดลกลุ่มบุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ วัฒนธรรมการแต่งกาย ในโอกาสสำคัญ และการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์บาบ๋าหรือเพอรานากัน
(ภาพ : อาคารห้องแถวหลายยุคสมัย ย่านเก่าภูเก็ต)
•รสนิยมของกล่มุชาติพันธุ์ลูกผสมจีนบาบ๋า คือ การผสมผสานวัฒนธรรมการแต่งกายชาติต่าง ๆ และเกิดเป็นเอกลักษณ์ โดยได้หยิบยกเอาแนวคิดรูปแบบของชุดของชนมาเลย์และจีนมารวมกัน
•เกอบาญาเป็นเสื้อท่อนบน ที่คล้ายกับมาเลย์แต่แตกต่างด้วยลายฉะลุ และใช้เข็มกลัดทองที่มีเพชรหรือหินมีค่าตกแต่ง เรียก โกสัง (Kerosang)
•นิยมนุ่งผ้าโสร่งปาเต๊ะ (Batik sarong) และสวมรองเท้าลูกปัด (Kasut manek)
•ยังมีรูปแบบเครื่องแต่งกายที่ประยุกต์เพื่อความคล่องตัวในการทำงาน
•เสื้อครุยยาวหรือ. บาจู ปันจาง มีความยาวประมาณน่อง แขนเสื้อยาว ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษ 1900
•เครื่องแต่งกายแบบนี้มี 3 ชิ้น เสื้อครุยสั้น โสร่ง และเสื้อตัวใน
•จากยุคแรกที่ใช้ผ้าหนา สู่การใช้ผ้าป่านบางและมีลวดลาย
(ภาพ : ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
เสื้อบาจูปันจางคอเป็นรูปตัววี ผ้าหน้า ไม่มีกระดุม กลัดด้วยเครื่องประดับที่เรียกว่า โกสัง คล้ายเข็มกลัดสามชิ้น
•เสื้อครุยครึ่งท่อนเป็นแฟชั่นที่ปรับมาจากเสื้อครุยยาว
•“ปั่ว” แปลว่า ครึ่ง, “ตึ๋ง” แปลว่า ยาว, “เต้” แปลว่า สั้น
(ภาพ : ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
ปั่วตึ๋งแต้ตัดหลวม ๆ ไม่เน้นทรวดทรง ชายเสื้ออยู่ระดับเอว ตัดด้วยผ้าฝ้ายหรือผ้ามัสลิน ไม่มีกระดุมหน้า
•ปัจจุบันเรียก “เสื้อคอตั้งแขนจีบ”
•เสื้อสั้นราวสะโพก คอตั้ง แขนเสื้อยาวจรดข้อมือ ปลายแขนจีบ ไม่เข้ารูป ไม่มีกระดุมในตัว แต่มีรังดุมใส่กระดุมกิมตู้น
•สามารถใช้ใส่ไว้เป็นเสื้อในสำหรับเสื้อครุยท่อน เรียกว่า บาจูดาลัม
•นิยมใช้ผ้าป่าน ผ้าฝ้าย จะดิดลูกไม้ชายเสื้อ
(ภาพ : ห้องเพชรน้ำหนึ่ง พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
•แฟชั่นช่วงทศวรรษ 1910 ในภาษามลายูเรียกว่า “เกอบาญา” (kebaya)
•เสื้อผ่าหน้า ไม่มีกระดุม กลัดด้วยโกสังคล้ายเข็มกลัดสามชิ้น
•ชายเสื้อ ปลายแขนเสื้อ ขอบปก คอเสื้อ มักตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้ที่นำเข้าจากฮอลันดา จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก เกอบาญาลินดา (kebaya renda) ด้วยการตกแต่งลูกไม้จากฮอลันดา
(ภาพ : ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
•แฟชั่นในทศวรรษ 1920 เป็นเสื้อสีพื้นที่มีลวดลายจากการฉลุ ด้วยเทคโนโลยีการตัดเย็บก้าวหน้า มีเครื่องจักรชนิดฉลุผ้า
(ภาพ : ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
เกอบาญาบีกูเน้นการฉลุลายที่สาบเสื้อด้านหน้า และบริเวณรอบสะโพก เช่น ลายหอยแครงและหยักโค้ง โดยหญิงบาบ๋าในอดีตปักลวดลายเหล่านี้ด้วยตัวเอง
•แฟชั่นทศวรรษ 1930 ถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่จะหมดความนิยมลง
•เมื่อมีการฟื้นฟูวัฒนธรรม เกอบาญาซูแลมกลายเป็นแฟชั่นที่กลับมาใช้ในการแต่งกายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่า
(ภาพ : ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
เกอบาญาซูแลมเน้นการตัดเย็บที่เน้นทรวดทรงมากขึ้น และใส่เสื้อชั้นในแบบบราเซีย โดยมีลวดลายฉลุที่มากกว่าเกอบาญาบีกู ตั้งแต่สาบเสื้อด้านหน้าถึงชายเสื้อ มักเป็นลวดลายพันธุ์พฤกษาและสัตว์มงคล
•การแต่งกายของสาวภูเก็ตนี้เน้นให้เหมาะกับการทำงาน เป็นกลุ่มผู้หญิงที่ไม่นิยมเสื้อเกอบาญา
•คงนุ่งผ้าโสร่งที่หาซื้อได้จากตลาด ซึ่งเป็นสินค้านำเข้า
(ภาพ : ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
เสื้อสามส่วนตัดด้วยผ้าพื้นธรรมดาหรือมีลวดลายเล็กน้อย มีทั้งคอกลม คอสามเหลี่ยม คอสี่เหลี่ยม กลัดกระดุมหน้าหรือติดซิบหลัง
•เป็นเสื้อผ้าที่ได้รับอิทธิพลของเกอบาญา ด้วยการใช้ลูกไม้ และหาซื้อได้ง่าย เข้ากับผ้าโสร่ง ผ้าซิ่น กระโปรง จึงได้รับความนิยมมากกว่าเสื้อเกอบาญา
(ภาพ : ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
เสื้อผ้าลูกไม้หรือผ้าต่อดอก มีกระดุมด้านหน้ามักเลือกให้สีเข้ากับสีของลูกไม้ สำหรับลูกไม้ต่อตอก ต้องอาศัยความประณีตของช่างในการนำลายดอกมาซ้อนกัน เรียกว่าเป็นการประกบดอกที่เย็บด้วยมือ ทำให้ไม่มีตะเข็บ
•“เซียงไฮ้” คือเมืองท่าทางใต้ของจีน ส่วนคำว่า “ข่อ” แปลว่า กางเกง เรียกได้ว่าเป็นแฟชั่นที่มาจากเมืองเซียงไฮ้
•ชุดสวมใส่ในชีวิตประจำวัน สีสันไม่ฉูดฉาด มีลวดลายดอกทั้งเสื้อและกางเกงเข้าชุดกัน
(ภาพ : ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
เซียงไฮ้ข่อมีคอเสื้อแบบคอจีน เป็นเสื้อป้ายข้างผ่าตลอด ติดด้วยกระดุมผ้าเรียกว่า “ป้อสิ่ว” ส่วนทับด้านในมีกระเป๋าขนาดเล็กเก็บเงินหรือผ้าเช็ดหน้า
•ตึ่งพ่าวหรือกี่เพ้ายาว เต่พ่าวหรือกี่เพ่าสั้น เป็นชุดทางการกว่าเชี่ยงไฮ้ข่อ
•นิยมใช้แต่งในงานสำคัญและถ่ายรูป ใช้ทั้งเด็กและหญิงสาว
•เป็นชุดที่เน้นทรวดทรง
(ภาพ : ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
ในช่วงทศวรรษ 1900 งานวิวาห์บาบ๋านับเป้นงานใหญ่ เป็นงานเฉลิมฉลองของญาติ เพื่อน และคนใกล้ชิด ที่มีการจัดงานตั้งแต่ 7 วันจนถึง 2 สัปดาห์
เพราะเปรียยเหมือนการหลอมรวม 2 ครอบครัว “มังกรคู่มังกร หงส์คู่หงส์” ดังสุภาษิตจีนว่าไว้
(ภาพ : ภาพประกอบการจัดแสดง พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว)
เจ้าบ่าวสวมเสื้อผ้าแบบตะวันตก แม้ภูเก็ตจะเป็นเมืองร้อน แต่ในงานที่เป็นทางการเช่นนี้ ใส่สูท ผูกเน็คไทหรือหูกระต่าย ประดับด้วยขนนก สมกับการเรียกขาน “สวมแม่เสื้อ ใส่เกือกแบเร็ต” ที่เป็นรองเท้าหนัง (ภาพ : ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
•มีลักษณะเหมือนกับบาจู ปันจาง มักเป็นผ้าลูกไม้โปร่งหรือผ้าป่านแก้ว ข้างในเป็นเสื้อคอตั้งแบบจีน ปลายแขนเสื้อจับจีบแบบมาเลย์ เอวลอยแบบเสื้อพม่า นุ่งปาเต๊ะแบบชาวอินโดนีเซีย
•สิ่งนี้สะท้อนความหลากหลายในการประยุกต์เสื้อผ้าแบบต่าง ๆ ให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของบาบ๋า
ชุดเจ้าสาวแบบครุยยาวยุคแรก เรียก กู่ข้วน ใช้ผ้าเนื้อนิม เช่น ผ้าต่วน ผ้าซาติน นิยมใช้สีชมพู (ภาพ : ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
•โกสัง (kerosang) ทำหน้าที่แทนกระดุม ประกอบด้วย 3 ชิ้น ได้แก่ โกสัง ฮาติ-ฮาติ เป็นชิ้นใหญ่สุดมักเป็นรูปหัวใจ และเข็มกลัดกลมอีกสองชิ้นเข้าชุดกัน เหมือน “แม่-ลูก”
•โกปี้จี๋ สร้อยคอทอง มีปิ่นตั้งรูปดาวประดับที่หน้าอก ตุ้มหูระย้า สวมแหวน กำไลข้อมือข้อเท้า
ฮั๋วก๋วน มงกุฎดอกไม้ไหวครอบมวยผมเจ้าสาวที่ทำจากดิ้นเงินดิ้นทอง เป็นดอกไม้ไหว ดอกไม้ไหวประดับด้วย หงส์ ที่มีความหมายถึงสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ และมีเสียงกังวาน สอนให้สาวเจ้ารู้จักกล่าว ปิยะวาจาเมื่อเข้าสู่เรือนชานของเจ้าบ่าว ด้านหน้าประดับด้วยดอกไม้และผีเสื้อที่แทนความผูกพัน การสั่นไหวของมงกุฎบอกเล่าถึงความตื่นเต้นของเจ้าสาว
(ภาพ : ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากันภูเก็ต)
ทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาว เด็กผู้ชายสวมสูทและกลัดเข็มกลัดรูปดอกไม้ เรียก “บินตั้ง” (ภาพ: ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากัน ภูเก็ต)
เด็กนั่งข้างที่เป็นผู้หญิงแต่งกายเหมือนเจ้าสาว ต่างกันตรงเครื่องประดับศีรษะ คล้ายหมวก (ภาพ: ห้องโบตั๋น พิพิธภัณฑ์เพอรานากัน ภูเก็ต)
•งานเย็บปักเป็นส่วนหนึ่งที่ผู้หญิงบาบ๋าได้รับการถ่ายทอด เพื่อเตรียมตัวออกเรือน
•การฉลุผ้าคัตเวิร์ค การปักลูกปัด การเย็บหมอน ปลอกหมอน
•ทักษะเหล่านี้กลายเป็นคุณสมบัติติดตัว และสืบทอดให้กับลูกสาวต่อไป
(ภาพ : ห้องเพชรน้ำหนึ่ง พิพิธภัณฑ์เพอรานากัน ภูเก็ต)
•ปัจจุบันนี้ รูปแบบของการดำเนินชีวิตในชุมชนบาบ๋าเปลี่ยนแปลง แต่เอกลักษณ์ของเครื่องแต่งกายได้รับการฟื้นฟูในบริบทร่วมสมัย เสื้อเกอบาญา เสื้อผ้าลูกไม้ต่อดอก และปาเต๊ะ กลายเป็นชุดที่ได้รับการระบุว่าเป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่นของคนภูเก็ต
•ในโอกาสสำคัญ เช่น การจัดงานวิวาห์ การจัดงานถนนคนเดิน งานเฉลิมฉลองต่าง ๆ คนในท้องถิ่นจำนวนหนึ่งสวมใส่เสื้อเกอบาญา หรือปัจจุบันเรียก เสื้อยาหย่า และนุ่งโสร่งให้เจนตา
พิพิธภัณฑ์เพอรานากัน ภูเก็ต ตั้งอยู่ในอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ไม่ห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต แสดงพัฒนาการของชุมชนและบอกเล่าเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมในย่านเมืองเก่า การแต่งกาย เครื่องประดับ และเป้นแหล่งรวมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมบาบ๋าอย่างน่าสนใจ
พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่า เมืองภูเก็ต บอกเล่าถึงชุมชนชาวจีนในเมืองภูเก็ต ทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์ ย่านชุมชน เอกลักษณ์ประเพณี