Culture Matters for all
“ผ้าทอเมืองสุรินทร์” นับเป็นงานหัตถกรรมที่งดงามและสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน นิทรรศการชุดนี้จะบอกเล่าพัฒนาการและการสืบสานผ้าทอมื
เรื่องราวต่าง ๆ ถ่ายทอดวิถีการทอผ้าในชุมชนเชื้อสายเขมร ณ บ้านตำปูงและบ้านนาตัง
เนื้อหาประกอบด้วย
(ในภาพ แม่บ้านในบ้านนาตังให้หนอนไหมกินใบหม่อนเป็นอาหาร)
(ในภาพ หญิงเชื้อสายเขมรสุรินทร์เข้าพิธีแต่งงาน ณ บ้านนาตัง เจ้าสาวมอบผ้าไหมหลายชิ้นให้กับครอบครัวของฝ่ายชาย ถือเป็นการรับไหว้ และญาติทางฝ่ายชายจะมอบสินสอดให้กับฝ่ายหญิงสำหรับการเริ่มต้นชีวิตครอบครัว)
(ในภาพ กลุ่มหนุ่มสาวเชื้อสายเขมรสุรินทร์แต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง ในงานเทศกาลช้างประจำจังหวัด ราวทศวรรษ 2500
- ห้องภาพเมืองสุรินทร์ เอื้อเฟื้อภาพ)
การทอผ้าในวัฒนธรรมไทยและเขมร มีนับเนื่องกว่าศตวรรษ
เสื้อผ้าจึงไม่ใช่เพียงเครื่องนุ่งห่ม แต่แสดงสถานภาพทางสังคมด้วยลวดลาย วัสดุที่ใช้ในการถักทอ
พ.ศ. 2399 ปรากฏหลักฐาน “เครื่องบรรณาการ” ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าส่งไปให้กับแฟรงคลิน เพียร์ซ (Franklin Pierce) ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเพื่อแสดงนัยสัมพันธไมตรี
ในครั้งนั้น เครื่องบรรณาการประกอบด้วยซิ่นไหมที่มีลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ของช่างทอเขมร
แต่ธรรมเนียมดังกล่าวเลิกไปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ไหมมีความสำคัญกับประเทศไทยในหลายด้าน
การทอผ้าในครัวเรือนที่เคยรุ่งเรืองในช่วงกว่าร้อยปีก่อนหน้านี้ กลับลดจำนวนการผลิตลง
เนื่องจากการผลิตผ้าโรงงานจำนวนมาก
เหตุผลอีกส่วนหนึ่งจากสงครามโลกครั้งที่ 2
ภาวะ “ข้าวยากหมากแพง” ส่งผลให้การผลิตผ้าทอมือลดลงด้วยเช่นกัน
(ในภาพ เป็นภาพถ่ายครอบครัวที่บันทึกช่วงเวลาสำคัญของครอบครัว สมาชิกในครอบครัวจึงเลือกชุดที่ดีที่สุด ผู้หญิงทุกคนนุ่งซิ่นไหมที่ทอกันเองในบ้านนาตัง วัฒนธรรมการทอผ้าในครัวเรือนแสดงให้เห็นทักษะของผู้หญิงและสมบัติของครอบครัว)
จิม ทอมป์สัน อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยสอบสวนกลาง สหรัฐฯ เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองไทยภายหลังการปลดประจำการจากกองทัพ
เขามีโอกาสเดินทางไปในภาคอีสาน และสนใจเกี่ยวกับการเลี้ยงไหมและการทอผ้า ซึ่งซบเซาอย่างมากเนื่องจากสงคราม แต่คงพบเห็นชาวบ้านทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้านอยู่บ้าง
เขาพัฒนาคุณภาพของไหมและผ้าทอ และส่งออกให้นักออกแบบในต่างประเทศ ทำให้ผ้าไหมเป็นที่ต้องการของตลาด สร้างงานและรายได้ให้ท้องถิ่น แต่ผลิตภณฑ์มีราคาสูง
(ภาพจากพิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน)
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริในการก่อตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ
ตั้งแต่เมื่อครั้งตามเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนราษฎรในชนบท เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2498 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เป้าหมายของพระองค์คือ การสืบทอดขนบการทอผ้าและยกระดับการครองชีพในชนบท
“ในช่วงเวลานั้น เด็กสาวในหมู่บ้านไม่ทอผ้า และเริ่มนุ่งกางเกงยีนส์และเสื้อยืด
หากต้องการซื้อผ้าซิ่นจะต้องไปที่ร้านขายข้าว ไม่มีร้านขายผ้าไหมทอมือ เพราะเขาจะนำผ้าไปแลกเป็นข้าวสำหรับบริโภค”
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ฑีขะระ
นางสนองพระโอษฐ์
ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
ผ้าไหมทอมือเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนหลายแห่ง ในหลายขั้นตอนของการผลิตนั้นเกิดในครัวเรือน บางครัวเรือนเน้นการปลูกหม่อนและเลี้ยงไหมและผลิตเป็นเส้นไหม อีกครอบครัวจะซื้อเส้นไหมดังกล่าวมามัดย้อมหรือที่เรียกว่า “มัดหมี่"
จากนั้น จะขายไหมที่พร้อมสำหรับการทอให้กับอีกครอบครัวหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็น “เครือข่ายผ้าทอ” ที่พึ่งพิงกันและกัน
หนอนไหมจะได้รับการฟูมฟักเหมือนกับเด็กน้อยในครัวครัว โดยต้นหม่อนและหนอนไหมได้รับการส่งเสริมโดยศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ สุรินทร์
เจ้าหน้าที่ของศูนย์หม่อนไหมฯ จัดอบรมการเลี้ยงและขายไข่ของหนอนไหมสายพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ผู้เลี้ยงไหมจะได้รับการอบรมให้เรียนรู้การคัดเลือกหนอนไหมที่ไม่มีคุณภาพออกจากกระด้งที่เลี้ยงไหม
การเลี้ยงหนอนไหมนับเป็นงานที่ต้องใส่ใจ ใบหม่อนเป็นอาหารโอชาให้หน่อนไหม
แต่นับวันจะมีจำนวนครอบครัวที่เลี้ยงหนอนไหมลดลง
เมื่อหนอนไหมพร้อมสำหรับการสาวเส้นไหม จะถูกแยกออกไว้ในจ่อ
ชาวบ้านจะปฏิบัติต่อรังไหมอย่างนุ่มนวล พร้อมทั้งกล่าวคำที่ทำให้เส้นไหมที่จะสาวออกจากรังได้คุณภาพมากที่สุด
หากใครกลัวหรือรังเกียจหนอนไหม ก็ไม่ควรเข้าใกล้ เพราะยามใดที่หนอนไหมรู้สึกกลัว จะหยุดสร้างเส้นไหม
หนอนไหมจะกลายเป็นดักแด้ให้ช่างทอได้สาวเป็นเส้นไหม ในระยะ 2-5 วัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ต้องป้องกันไม่ให้มดและแมลงวันเข้าสู่ภายใน จึงมีต้องคลุมด้วยผ้าถุงและหล่อน้ำไว้ที่ขาของชั้นวางกระด้ง
ดักแด้ที่แยกไว้ในจ่อ ใช้เวลาราวสองวันก่อนการสาวเส้นไหม ดักแด้บางตัวถูกแยกในขั้นตอนนี้ สำหรับการเพาะพันธุ์ในฤดูกาลต่อไป
เกิดจากการนำปอยหมี่ที่มัดหมี่เรียบร้อยแล้วไปย้อมสีในน้ำเดือด หากต้องการให้ผ้าไหมมีหลาย ๆ สีเพิ่มขึ้น นำไป “โอบหมี่” คือการใช้เชือกฟางเล็ก ๆ พันลำหมี่ตรงส่วนที่ยังไม่ถูกมัดหมี่ ตามแบบลายมัดหมี่
การโอบ (พัน) ต้องโอบ (พัน) ให้เชือกฟางแน่นที่สุดและหลาย ๆ รอบ นำหมี่ที่โอบหมี่เรียบร้อย แล้วไปล้างสีออกในน้ำเดือด หมี่ส่วนที่โอบหรือมัดไว้ จะคงสีตามเดิมส่วนที่ไม่ถูกโอบหรือมัดจะถูกล้างออกเป็นสีขาว นำไปย้อมเป็นสีอื่นอีกครั้งหนึ่งตามต้องการ
สาธิตการสาวไหมที่ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ สุรินทร์ การดึงเส้นใยออกจากรังไหมโดยการนำรังไหไปต้ม เพื่อละลายกาวที่ผนึกเส้นใยไว้ออกจากกัน แล้วดึงเอาเส้นใยออกมา
หลังจากการสาวไหมเสร็จแล้ว ก็ทำเป็นเข็ด (เป็นใจ) โดยแยกชนิดต่าง ๆ ของเส้นไหม เช่น ไหมใหญ่ ไหมสาวเลย หรือไหมยอด โดยใช้เครื่องทำเข็ด ซึ่งรียกว่า “เหล่ง” ในภาพเป็นการเหล่งไหมเข้า “อัก” เพื่อให้ได้เส้นไหมที่มีความสม่ำเสมอ
ช่างทอผ้าจำนวนหนึ่งชอบใช้ไหมน้อย (ไหมชั้นในสุดของดักแด้) เพราะจะให้ผ้าที่มีความนุ่มมากกว่า โดยซื้อเส้นไหมที่ทำในท้องถิ่นหรือบางครั้งจะใช้เส้นไหมสังเคราะห์ หรือเส้นไหมที่ผลิตในแหล่งอื่น
ส่วนสีย้อมเคมีนั้นแห้งไว แต่ช่างทอบางคนหลีกเลี่ยงการใช้สีเคมี และตลาดเริ่มนิยมใช้สีธรรมชาติมากขึ้น
ลายผ้าที่เรียกว่า “โฮล” เป็นเสมือนกับราชินีของไหมสุรินทร์ ตามลวดลายดั้งเดิมนั้น โฮลประกอบด้วยสี 3 สีที่ย้อมจากวัสดุธรรมชาติ แดงจากครั่ง เหลือมองจากเขและขนุน และน้ำเงินจากคราม
ผ้าไหมทอมือในสุรินทร์มีเอกลักษณ์คือสีแดงที่มาจากครั่ง ในภาษาเขมรเรียกว่า “เลียก” ครั่งเป็นแมลงประเภทหนึ่งที่ขับสารมีลักษณะเป็นเหมือนยางหรือชันออกมาไว้ป้องกันตัวเองจากศัตรู สารนี้เรียกว่า "ครั่งดิบ" มีสีแดงม่วง ลักษณะคล้ายขี้ผึ้งสีเหลืองแก่ หรือยางสีส้ม
ความเชื่อและข้อห้ามจำนวนไม่น้อยเกี่ยวข้องกับครั่งและกระบวนการย้อมสี ในภาษาเขมร “เลียก” หมายถึง “หลบซ่อน” ในช่วงพิธีขึ้นบ้านใหม่ ชุมชนเชื้อสายเขมรสุรินทร์ใช้ครั่งเป็นส่วนประกอบพิธี เพื่อป้องกันบ้านจากภยันตราย ครั่งชิ้นเล็ก ๆ จะเก็บไว้ในตู้หรือลิ้นชัก ด้วยความเชื่อที่ว่าครั่งจะบังตาไม่ให้ขโมยเห็นสิ่งของมีค่าที่เก็บไว้ในเรือน
ช่างทอหยุดการเตรียมสีทันที เมื่อมีผู้หญิงเดินเข้ามาใกล้บริเวณนั้น เนื่องจากไม่แน่ใจว่า ผู้หญิงที่เดินเข้ามาตั้งท้องหรือมีประจำเดือนหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อห้าม เพราะอาจจะทำให้สีที่ได้ไม่ติดเส้นไหมที่ย้อม
บางคนย้อมผ้าในช่วงเวลากลางคืนหรือกลางป่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครมารบกวนในระหว่างการย้อมสี
ปัจจุบัน มีการใช้ “ด่างฟอกไหมขาว” เพื่อฟอกสีเหลืองตามธรรมชาติของเส้นไหมดิบ และผสมสารส้มในสีย้อมสำหรับให้สีติดทนนาน เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างสิ่งที่เป็นธรรมชาติและสารสังเคราะห์
ช่างทอที่ทอผ้าด้วยกี่มือจะเป็นผู้บังคับตะกอให้แยกเส้นด้ายยืนออกจากกันด้วยเท้าเหยียบ และใช้มือสอดกระสวยใต้เส้นด้าย จากนั้น ดึงฟันฟืมกระทบเส้นด้ายพุ่งให้ติดกันทีละเส้นนั้น
แต่กี่กระตุกเริ่มได้รับความนิยมมากว่า 20 ปี ผู้ทอใช้มือกระตุกเชือกที่ติดกับกระสวย แล้วกระสวยจะวิ่งผ่านเส้นด้ายยืนที่แยกออกจากกัน
หญิงเชื้อสายเขมรสุรินทร์กล่าวไว้ว่า ความรู้สึกนั้นสอดผสานอยู่ในผืนผ้าที่พวกหล่อนทอ หากช่างทออยู่ในอารมณ์โกรธหรือเสียใจ ผ้าที่ทอจะแน่นเฉกเช่นสิ่งที่ “แน่นอก” ฉะนั้น ความสุข ความหิว ความโสกเศร้า หรือความรัก ปรากฏในลวดลายของผืนผ้า ลวดลายนั้น ๆ สะท้อนให้เห็นชั่วขณะของการทอผ้า
บ้านแม่ชอุ่มในบ้านนาตัง คงสืบทอดการทอผ้าและการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติ และถ่ายทอดความรู้ให้กับหลานสาว แม้อั้มผู้เป็นหลานในวัยสามสิบเศษทำงาน ณ ท่าเรือสัตหีบ จังหวัชลบุรี แต่เมื่อกลับมาเยี่ยมบ้าน เธอคงทอผ้าและหวังว่าสักวันจะย้ายกลับมาตั้รกรากที่บ้านเกิด
กลุ่มแม่บ้านตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2546 ด้วยการสนับสนุนทั้งในระดับจังหวัดและระดับตำบล ผ้าทอของกลุ่มแม่บ้านจะจำหน่ายให้กับมูลนิธิศิลปาชีพ
ทุกวันนี้ มีสมาชิกกลุ่มราว 50 คน ช่างทอผ้าบางคนทอผ้าแบบเต็มเวลา ณ ที่ทำการของกลุ่มแม่บ้าน บางคนทอผ้าเป็นรายได้เสริมให้ครอบครัว บ้างใช้เวลาทอผ้าในครัวเรือนและใช้กรรมวิธีการผลิตแบบดั้งเดิม
กลุ่มแม่บ้านเริ่มใช้สีย้อมสังเคราะห์และเส้นใยสำเร็จจากภายนอก รวมถึงการใช้กี่กระตุกเพื่อเพิ่มจำนวนการผลิตให้เป็นสินค้าของชุมชน นอกจากนี้ ยังมีการปรับลวดลายให้เหมาะสมกับตลาดทั้งในระดับท้องถิ่นและลูกค้าภายนอกชุมชน
ลายผ้าอาจแบ่งได้หลายลักษณะ เช่น “ท้องถิ่น” “ประเพณี” “สมัยใหม่” “เขมร” “ไทย” “เขมรสุรินทร์” “ประยุกต์” ฯลฯ แต่ใช่ว่าจะแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน เพราะการออกแบบนั้นเกิดขึ้นได้อยู่เสมอขึ้นอยู่กับผู้ทอ
แต่รูปแบบสำคัญของผ้าไหมสุรินทร์นั่นคือ “มัดหมี่” นั่นคือเทคนิคการมัดย้อมเส้นไหมก่อนการทอและกลายเป็นลวดลายที่งดงาม ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างลวดลายเอกลักษณ์ของผ้าไหมทอมือ
“โฮล” ได้รับการกล่าวขานโดยคนท้องถิ่นว่าเป็น “ราชินีผ้าไหมสุรินทร” ชื่อของลายมาจากคำภาษาเขมรว่า “โฮร” ที่หมายถึง ไหล เพราะลายผ้าเสมือนสายน้ำที่ไหล
เดิมที ผู้หญิงจะใส่ซิ่นโฮลแต่ในปัจจุบันทั้งชายและหญิงประยุกต์ผ้าโฮลเป็นเครื่องแต่งกายในวาระสำคัญ เช่น งานแต่งงาน เทศกาล
“อัมปรม” เป็นลวดลายที่เกิดจากการมัดย้อมทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง เทคนิคการมัดย้อมแบบนี้เดิมทีพบในจีน อินเดีย ญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย แต่กลายเป็นเทคนิคการทอในสุรินทร์ไม่น้อยกว่า2,000 ปี
หากแปลเป็นไทยคือ “คลานมาสยาม” นงเยาว์ ทรงวิชา กล่าวถึงชื่อเรียกของลวดลายที่เกี่ยวข้องกับการสู้รบระหว่างราชสำนักสยามกับเขมร และเมื่อคนเชื้อสายเขมรได้รับอนุญาตให้ตั้งรกรากในสุรินทร์ จึงแสดงความภักดีด้วยการสร้างสรรค์ลวดลายและสอยลูกหลานให้รู้จักความหมาย
ในอำเภอเขวาสินรินทร์ มีการจัดเทศกาล “นุ่งผ้าไหม ใส่ปะเกือม เรือมกันตรึม” เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่มรดกวัฒนธรรมเชื้อสายเขมรให้กับผู้คนในท้องถิ่น
แม่ ๆ ที่เป็นสมาชิกในชุมชนสวมใส่เสื้อผ้าไหมที่ทอในชุมชน ซึ่งแสดงให้เห็นเอกลักษณ์ของชุมชนเชื้อสายเขมรสุรินทร์และความภาคภูมิใจแก่ผู้มาเยือน
ธิดาปะเกือมในเทศกาล “นุ่งผ้าไหม ใส่ปะเกือม เรือมกันตรึม” พ.ศ. 2555 และ พ.ศ.2556
หญิงเชื้อสายเขมรสุรินทร์คงสะสมผ้าไหม ส่วนหนึ่งเป็นมรดกตกทอด อีกส่วนหนึ่งเป็นผ้าที่ทอขึ้นใหม่ เพื่อส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไป
ผ้าไหมขายในตัวเมืองสุรินทร์ แม่ค้าเป็นสมาชิกของเครือข่ายช่างทอในพื้นที่ และผู้ซื้อเป็นคนในท้องถิ่นสุรินทร์
นิทรรศการเรื่องนี้ดัดแปลงจากนิทรรศการออนไลน์ โครงการโรงเรียนภาคสนาม เรื่อง ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมกับงานพิพิธภัณฑ์ พ.ศ. 2555 ซึ่งพัฒนาโดย อเล็กซานดรา เดลเฟอโร ในกำกับของ ดร. อเล็กซานดรา เดนิส
ภาพประกอบ
ภาพถ่ายโดย อเล็กซานดร้า เดลเฟอโร
ภาพจากภายนอก
จิม ทอมป์สัน จาก http://asiastore.org/wp-content/uploads/2014/09/jimthompson-studio1.jpg
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จาก http://kanchanapisek.or.th/kp6/pictures29/l29-16a.jpg