Culture Matters for all
“ภาพถ่ายเก่า ไม่ใช่เพียงเครื่องมือหรือกุญแจที่พาทีมงานไปรู้จักกับผู้คนหรือเรื่องเล่าเท่านั้น ภาพถ่ายเก่ายังทำหน้าที่เป็นหลักฐานสำคัญในการยืนยันถึงคำบอกเล่าของคนรุ่นก่อนต่อสิ่งที่เคยมี อดีตที่เคยเป็น ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลง...
...ภาพถ่ายเก่าใช้เป็นเครื่องยืนยันการมีอยู่ของสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเป็นอย่างดี และถ้าเรานำภาพภ่ายมาจัดเรียงใหม่ ภาพถ่ายจะเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญของชุมชนได้
จุฑามาศ ลิ้มรัตนพันธ์ (2560)
หน้าบันรูป “รวงข้าว” ของโบสถ์หลังเก่าวัดท่าพูด ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเมื่อครั้งที่วัดท่าพูดขอรับบริจาคข้าวเปลือกจากชาวบ้าน เพื่อนำข้าวเปลือกที่ได้รับบริจาคมา ไปขายแล้วนำเงินที่ได้มาสร้างโบสถ์ แต่ทุกวันนี้หน้าบันรวงข้าวไม่มีให้เห็นแล้ว เพราะทางวัดบูรณะโบสถ์ขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2535
(ในภาพ ปรีชา เพ่งศรี ถ่ายภาพกับเพื่อน หน้าโบสถ์หลังเก่า จากสมุดภาพของทายาทปรีชา เพ่งศรี)
• รูปแบบการทำงานอาศัยภาพเก่าที่ได้รับการคัดสรรตามประเด็นที่ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์สนใจ
• อัดขยายภาพดังกล่าวและจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการ เพื่อให้สมาชิกชุมชนที่มีประสบการณ์ร่วมถ่ายทอดเรื่องราวสู่กันฟัง
• แต่ภาพถ่ายเป็นเพียง “หลักฐาน” ประเภทหนึ่ง เช่นเดียวกับคำบอกเล่าของสมาชิกชุมชน ฉะนั้น ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ต้องใช้หลักฐานที่หลากหลายในการสืบค้นประวัติชุมชน และติดตามบุคคลหรือเรื่องราวเพิ่มเติมเพื่อให้ “ภาพ” ของประเด็นนั้นมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
การตั้งชุมชนมักเกิดขึ้นบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำนครชัยศรีกับปากคลองสำคัญ ๆ
ที่ขุดขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางคมานาคมขนส่งพืชผลการเกษตรทั้งน้ำตาลและข้าว
บริเวณดังกล่าวมักมีบ้านเรือนหนาแน่น
มีวัดสำคัญ เป็นย่านตลาดและเป็นศูนย์กลางคมนาคม
เสวภา พรสิริพงษ์ และคณะ (2548)
(ภาพจากพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด)
(ภาพจากพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด)
(ภาพจากสมุดภาพของลุงปรีชา เพ่งศรี)
“... สมัยก่อนพ่อของยายเป็นคนแจวเรือรับจ้าง ค่าจ้างนิดเดียว
ยิ่งเวลาน้ำเชี่ยวๆ นะ แจวจนเหนื่อยได้ไม่กี่ตังค์หรอก...
เวลาเราจะไปไหน มาไหนนะ
เราก็แค่ไปยืนรอที่ท่าน้ำหน้าบ้านนี่แหละ
พอเรือมา เค้าก็จะตะโกนถามว่าจะไปไหน
ถ้าไปทางเดียวกัน เค้าก็จะเทียบท่าเข้ามารับ
ถ้าไม่ใช่ เราก็ต้องรอต่อไป...
ส่วนใหญ่คนมักจะจ้างเรือแจวไปส่ง
ตามท่าต่าง ๆ เช่น ท่าโพธิ์แก้ว ท่าหน้าวัดท่าพูด ไร่ขิง
แล้วก็ไปต่อเรือบริษัท...”
“...เมื่อก่อนนี้ ในแม่น้ำมีเรือวิ่งเต็มไปหมด ทั้งเรือมาดของพ่อค้าลำใหญ่ใช้ขนข้าว
เรือมาดชาวบ้านลำเล็กกว่า เรือสำปั้นของแม่ค้า เรืออีป๊าบ เรือเอี้ยมจุ๊นก็มีนะ...
เวลาจะไปไหนมาไหน ถ้าใกล้ ๆ ก็พายไปเอง คนแถวนี้พายเรือกันเป็นทุกคน
แต่ถ้าขี้เกียจพายก็ไปเรือจ้าง หรือไม่ก็เรือแท็กซี่
หรือถ้าไปไหนไกลจริง ๆ ก็ต้องไปขึ้นเรือ 2 ชั้น เรือบริษัทนะ...
พอตกกลางคืนเอาละ เรือผีหลอกออกหาปลากันให้เต็มไปหมด เรือตกกุ้งก็มีนะ...”
เรือขุดขนาดใหญ่ จุคนนั่งได้ถึง 20 คน ตามปกติจะใช้บรรทุกข้าวเปลือก และของใช้อื่นๆ มีรูปทรงคล้ายกระทะ หัว- ท้ายสั้นและแหลม ตรงกลางป่อง ท้องเรือเป็นรูปครึ่งวงกลม พ่อค้าข้าวนิยมใช้เรือมาดเป็นเรือขนส่งข้าวเปลือก
(ในภาพ เรือมาดใช้บรรทุกศพของคุณพ่ออ้น กลั่นประชา ออกจากบ้านไปที่วัด – สมุดภาพของผู้ใหญ่สวัสดิ์ กลั่นประชา)
เป็นเรือต่อ ที่มีหน้าสั้น ท้ายสูง ตรงกลางลำเรือเป็นแอ่งลึก สามารถปูกระดานให้คนนั่งได้ 1- 2 คน และบรรทุกสินค้าเวลาพายคนส่วนใหญ่นิยมนำท้ายเรือมาเป็นหัวเรือ เพราะพายได้คล่องตัวกว่า
(ในภาพ เรือสำปั้น พาหนะสำคัญของแม่ค้าที่ขายของในแม่น้ำ จากสมุดภาพของลุงปรีชา เพ่งศรี)
มีความยาวและสามารถบรรทุกสิ่งของได้มากกว่าเรือสำปั้น หัวและท้ายของเรือจะสั้น และเรียบสามารถปูกระดานนั่งได้สบายกว่า ต่อมามีการนำเครื่องยนต์มาติดตั้ง
(ในภาพ งานแห่นาคของผู้ใหญ่บุญนะ ชาวบ้านคลองฉาง พ.ศ. 2513 จากสมุดภาพของลุงพนม ศรีสนิท)
เป็นเรือต่อ หัวเรือแบนใหญ่เชิดขึ้น ท้ายเรือต่ำ มีหลังคาประทุนกันแดดกันฝน เป็นเรือที่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน เครื่องของเรือจะตั้งอยู่กลางลำเรือ มีใบพัดอยู่ด้านท้าย ด้านหน้ามีพวงมาลัยบังคับเลี้ยวซ้าย- ขวา
(ในภาพ เรือแท็กซี่นำคณะหัวโต การละเล่นนำหน้าขบวนแห่นาค เดินทางไปวัด สมุดภาพของลุงปรีชา เพ่งศรี)
เป็นเรือที่มีเพลาต่อจากเครื่องยนต์ลงน้ำ ในสมัยนั้นเรียกเครื่องยนต์ชนิดนี้ว่า เครื่องเรือหางยาวต่อมามีการพัฒนาแรงม้าทำให้เรือแล่นได้เร็วขึ้น และใช้กับเรือที่ขนาดใหญ่ขึ้น
(ในภาพ เรือหางยาวขบวนขันหมาก จากสมุดภาพส่วนตัวของลุงปรีชา เพ่งศรี
เป็นชื่อที่ชาวบ้านใช้เรียก เรือเมล์ของบริษัทสุพรรณบุรีขนส่ง เป็นบริษัทเดินเรือขนาดใหญ่ที่สุดในขณะนั้น เพราะมีเส้นทางการเดินเรือที่ครอบคลุมแม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เชื่อมโยงจังหวัดสุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี สมุทรสาคร ชัยนาท และกรุงเทพมหานคร
(ในภาพ เรือเมล์ 2 ชั้น พระกำลังจะกลับกรุงเทพฯ ลงที่ท่าน้ำวัดไร่ขิง จากสมุดภาพของป้าเทพี สีผึ้ง)
ติดตามอ่านเรื่องราวเพิ่มเติม
จุฑามาศ ลิ้มรัตนพันธ์. 2555. “ริมฝั่งแม่น้ำนครชัยศรี กับเรื่องเล่าจากความทรงจำ” ใน คน ของ ท้องถิ่น : เรื่อง เล่า "สยามใหม่" จากมุมมองของชุมชน, ชีวสิทธิ์ บุณยเกียรติ บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : ศูนย์ มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
เสวภา พรสิริพงษ์ และคณะ. 2548. วิถีชุมชนลุ่มน้ำนครชัยศรี. นครปฐม: สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อ พัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล.
ตลาดริมน้ำ แสดงถึงความผูกพันกับสายน้ำ เพราะเป็นสถานที่พบปะของผู้คนจากชุมชนต่าง ๆ พ่อค้าจากถิ่นอื่นที่นำสินค้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ในอดีตตลาดที่ชาวชุมชนท่าพูดมักไปซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ามีด้วยกันหลายแห่ง เช่น ในเขตอำเภอนครชัยศรีก็จะไปที่ ตลาดงิ้วราย ตลาดท่านา และตลาดน้ำปากคลองบางแก้ว
ส่วนตลาดที่อยู่ในเขตอำเภอสามพราน ได้แก่ ตลาดใหม่ ตลาดท่าเกวียน ตลาดสามพราน และตลาดดอนหวาย ในปัจจุบันนี้ตลาดบางแห่งไม่มีกิจกรรมการซื้อขายกันแล้ว ทิ้งให้เห็นแต่อาคารตลาดเก่าที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต บางตลาดก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อขายไป
บางคนเรียก “ท่าเตียน” ตั้งอยู่ริมน้ำนครชัยศรี ระหว่างคลองฉางกับคลองบางยางในตำบลไร่ขิง ปัจจุบันมีถนนไร่ขิง-ทรงคะนอง ผ่านบริเวณด้านหลังตลาด
คาดว่าสร้างรุ่นเดียวกับตลาดดอนหวาย และอาจสร้างขึ้นราวสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากกมีการสร้างและใช้สถานีรถไฟงิ้วราย และกิจการเรือโดยสารของบริษัทสุพรรณขนส่ง
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนมีเกวียนลากข้าวมาขายให้คนจีนในตลาด (ท่าเกวียน) และซื้อของจากตลาดกลับไป แต่คนรุ่นป้าก็ไม่เคยเห็นการลากเกวียนขายข้าวอีก รู้แต่เพียงว่าท่าจอดเกวียนอยู่บริเวณใด
ประทุม สร้อยทอง
จากคำบอกเล่า ของผู้คนที่รู้จักตลาดท่าเกวียน นายจำปี สร้อยทองกับนางเลื่อน หิรัญสถิต เป็นเจ้าของตลาด และสร้างบนที่ดินของนางเลื่อนที่เป็นมรดกตกทอดจากผู้เป็นพ่อ ที่เป็นหลงจู๊ค้าข้าวในแถบนครชัยศรี
ยายประทุม สร้อยทอง และป้าแน่งน้อย ลิมังกูร เล่าถึงตลาดท่าเกวียนที่เป็นห้องแถวสองข้าง ตัวอาคารเป็นไม้และหันหน้าเข้าหากัน ขนาบทางเดินตรงกลางที่มีสองข้างหลังคาคลุม
การลำดับร้านค้าและห้องเช่าภายในตลาดท่าเกวียนตามคำบอกเล่า
ในภาพ คลินิกหมอสมพงษ์ บริเวณหน้าคลาดท่าเกวียน สะท้อนความเป็นศูนย์กลางของท้องที่ (ภาพจากพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดท่าพูด)
“เรือสุพรรณมีสองชั้นและเป็นเรือเมล์โดยสาร บางครั้งเรียก เรือไฟ หรือ เรือไอ และมีเรือของบริษัทเมืองสมุทร ที่รับส่งผู้โดยสารและสินค้าจากสมุทรสาคร
....ตลาดท่าเกวียนจึงคึกคักไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายและมารอเรือโดยสาร”
(ในภาพ บริเวณท่าเรือบริษัทสุพรรณขนส่งที่อยู่ติดกับเรือนของนายจำปี เจ้าของตลาดท่าเกวียน ถ่ายราว พ.ศ.2501 จากสมุดภาพของป้านงเยาว์ สร้อยทอง)
ติดตามอ่านเรื่องราวเพิ่มเติม
นวลพรรณ บุญธรรม. 2560. “ตลาดท่าเกวียนในความทรงจำ” ใน “ท่าพูด” ต่างมุมมอง, ชีวสิทธิ์ บุณยเกียรติ บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
เมื่อมีถนนตัดผ่านเข้ามาในชุมชน เรือที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง
และการขนส่งสินค้าก็ลดบทบาทลง
ปัจจุบันบ้านเกือบทุกหลังที่อยู่ริมแม่น้ำหรือคลองต่าง ๆ
ก็ยังใช้เรือสำปั่น เรืออีป๊าบ หรือเรือสมัยใหม่ในการเดินทางอยู่บ้าง
โดยเฉพาะการข้ามฝั่งแม่น้ำชาวบ้านยังนิยมข้ามด้วยเรือ
แม้เรือตามบ้านจะมีบทบาทลดลง แต่ในการท่องเที่ยวทางน้ำ
เรือกลับมีบทบาทมากขึ้นในฐานะพาหนะนำเที่ยวให้กับผู้คน
การดัดแปลงเรือเก่าในอดีต เช่น เรือต่อลำใหญ่ เรือแท็กซี่ หรือเรือรับจ้างให้เป็นเรือนำเที่ยว และร้านอาหาร
นับเป็นอีกความพยายามหนึ่งในการปรับตัวของเจ้าของเรือให้เข้ากับยุคสมัย
“ตลาดท่าเกวียน” ที่ปัจจุบันคงเหลือเพียงเรื่องราวของความทรงจำของตลาด บริเวณดังกล่าวถูกปรับเปลี่ยนเป็นห้องเช่าเพื่อตอบสนองกับแรงงานเข้ามาในพื้นที่
ตลาดริมน้ำลดบทบาทหรือเปลี่ยนแปลงหน้าที่ เมื่อทางคมนาคมทางบกเข้ามาแทนที่ ถนนกลายเป็นเส้นทางการจราจรสำคัญ ทางเลือกในการซื้อสินค้ามีมากขึ้นเช่นกัน
ตลาดหลายแห่งได้รับการฟื้นฟูโดยชุมชน สำหรับเป็นทั้งตลาดต้อนรับนักท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์สำหรับเรียนรู้ประวัติศาสตร์
• พิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ (ตลาดสามชุก) จังหวัดสุพรรณบุรี
• บ้านเก่าเล่าเรื่อง ตลาดบางหลวง จังหวัดนครปฐม
• พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านตลาดน้ำวัดลำพญา จังหวัดนครปฐม
• พิพิธภัณฑ์ตลาดคลองสวน จังหวัดฉะเชิงเทรา
• พิพิธภัณฑ์ตลาดน้ำคลองลัดมะยม กรุงเทพมหานคร